การปลูกกุยช่าย
การปลูกกุยช่าย
เป็นผักสวนครัวในรั้วบ้านหรือปลูกเพื่อการค้า ล้วนแต่ใช้วิธีการปลูกและการดูแลที่ไม่แตกต่างกัน หากท่านผู้อ่านได้ทดลองปลูกแล้ว อาจจะนำวิธีการที่ผู้เขียนนำเสนอไว้ไปปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและความสะดวก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูง และเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผู้เขียนเคยย้ำเตือนว่า ให้ใส่ใจดูแลพืชผักผลไม้ที่ปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อปฎิบัติแล้วได้ผลที่ดี เราก็จะมีกำลังใจที่จะทำการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานหลักของวิถีชีวิตคนไทยมาแต่โบราณ และที่น่ายินดีในตอนนี้คือ ประเทศไทยในยุค 4.0 ช่วยส่งเสริมการเกษตรควบคู่กับการพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ ซึ่งพอจะมองเห็นแนวทางการเกษตรอย่างยั่งยืนได้ชัดเจนขึ้น ในแต่ละปี ราคาพืชผักผลไม้จะขึ้นและลงตามฤดูกาล การที่เราทดลองปลูกพืชผักหลากชนิด และใช้พื้นที่ที่มีอยู่ทำการเกษตรแบบผสมผสาน นอกจากจะช่วยให้มีรายได้หมุนเวียนแล้วยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ เมื่อต้องการบริโภคพืชผักผลไม้ต่างๆ ในยามที่ราคาพุ่งสูงขึ้นไปตามราคาตลาด และสภาพภูมิอากาศ ในบทความนี้ นอกจากผู้เขียนจะมีวิธีการปลูก การดูแลหลังการปลูก วิธีการเก็บเกี่ยว และการป้องกันและกำจัดโรคและแมลง มาแนะนำแล้ว ยังมีเคล็ดลับกำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างปลอดภัยมาฝาก อย่าพลาดติดตามกันนะคะ
ขั้นตอน การปลูกกุยช่าย
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์กุยช่าย มี 2 วิธี คือ
- การเพาะเมล็ด ถือเป็นวิธีที่นิยม และใช้ในการผลิตกุยช่ายเขียว และกุยช่ายดอก และเพื่อเตรียมต้นกล้าสำหรับผลิตกุยช่ายขาว (ในอัตราการปลูก 1 กิโลกรัม 4 ไร่ สำหรับการปลูกเพื่อการค้า)
วิธีการเพาะเมล็ด
– การเพาะเมล็ดในถาดเพาะกล้า โดยก่อนเพาะควรแช่เมล็ดในน้ำผสมปุ๋ยโพแทสเซียมไนเตรท(13 – 0 – 50) เข้มข้น 0.1 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำออกมาใส่ในผ้าเปียกเก็บในตู้เย็นเป็นเวลา 3 ถึง 5 วัน รักษาความชื้นในวัสดุเพาะสม่ำเสมอเพื่อช่วยในการงอกของเมล็ด แล้วนำออกมาผึ่งให้ผิวแห้ง นำดินสำหรับเพาะกล้าในลงหลุมถาดเพาะ แล้วนำเมล็ดกุยช่ายหยอดลงในหลุม 3 ถึง 5 เมล็ด ต่อหลุม จากนั้นกลบด้วยดินที่ใช้เพาะกล้าบางๆ รดน้ำพอชุ่ม คลุมด้วยฟางข้าวแห้ง นำถาดเพาะกล้าไปวางไว้ในที่ร่มมีอากาศถ่ายเทที่ดี รดน้ำทุกวันในตอนเช้า เมล็ดจะงอกภายใน 7 ถึง 14 วัน ในระยะนี้ควรรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอ จนอายุกล้าประมาณ 50 ถึง 60 วัน จึงสามารถนำไปปลูกได้
– การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ เริ่มจากการเตรียมแปลงเพาะเหมือนกับการเตรียมแปลงเพาะพืชทั่วไป หว่านเมล็ดลงแปลงบางๆ โรยฟางข้าวทับรดน้ำให้ชุ่ม จนกล้าอายุได้ 50 ถึง 60 วัน จึงนำกล้าไปปลูกลงแปลงปลูกได้ - การแยกเหง้าหรือแยกกอปลูก ใช้ในการปลูกทั้งกุยช่ายเขียว และกุยช่ายขาว ด้วยการสลับผลิตกุยช่ายแต่ละชนิดในแปลงเดียวกัน วิธีนี้จำเป็นต่อการปลูกกุยช่ายขาว เพราะการปลูกจากเหง้าให้เป็นกอๆ จะสามารถใช้วัสดุทึบแสงคลุมกอได้
วิธีการแยกกอ
– โดยใช้ต้นแม่พันธุ์อายุ 6 เดือนขึ้นไป ขุดแล้วแยกกอ ก่อนปลูกควรตัดใบออก เพื่อลดการคายน้ำ ตัดรากให้เหลือประมาณ 1 ถึง 2 เซนติเมตร จากนั้นนำกอที่แยกเพื่อปลูกจุ่มยากันเชื้อราเพื่อเป็นการป้องกันโรคก่อน จึงนำไปปลูก
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกกุยช่ายขาว
พื้นที่เพาะปลูก
- ต้องเป็นพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่มีช่วงแสงสั้น อุณหภูมิต่ำ หากปลูกกุยช่ายดอก สามารถเพิ่มช่วงแสงด้วยการเปิดไฟในเวลากลางคืนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจริญของดอก ในบางสายพันธุ์ต้องการอุณหภูมิต่ำ สำหรับการเจริญเติบโตของดอก
อุณหภูมิ
- อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของกุยช่าย คือ 20 องศาเซลเซียส
ดิน
- กุยช่ายชอบดินที่ร่วนปนทราย มีหน้าดินหนา อินทรียวัตถุสูง ระบายน้ำได้ดี
- ค่า pH ของดินอยู่ระหว่าง 6.5 ถึง 6.8
สายพันธุ์
- กุยช่ายใบ เช่น Broad leaf และ Ping
- กุยช่ายดอก เช่น Tai Jiu
กุยช่ายเขียว และกุยช่ายขาว
การเตรียมดิน
- ไถพลิกดิน ตากแดดประมาณ 15 วัน
- ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร
- โรยปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน
- กำจัดวัชพืช โดยเฉพาะหญ้าแห้วหมู
- ย่อยหรือพรวนดิน และเตรียมแปลง
การเตรียมแปลง
- พื้นที่ที่มีระบบน้ำขังตลอด
– ยกร่องสูงประมาณ 1 เมตร กว้างประมาณ 3 ถึง 5 เมตร ความกว้างของร่องประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร
– พรวนแปลงเพื่อตากแดดอีกครั้งประมาณ 5 ถึง 10 วัน - พื้นที่ดอนหรือไม่มีน้ำท่วมขัง
– ยกร่องสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร ความกว้างของร่องประมาณ 50 ถึง 70 เซนติเมตร
– พรวนแปลงเพื่อตากแดดอีกครั้งประมาณ 5 ถึง 10 วัน
การปลูก
- กุยช่ายเขียวจากการเพาะเมล็ด
– เมื่อต้นกล้ามีอายุครบกำหนด ลำต้นแข็งแรง ให้รดน้ำแปลงที่จะปลูกให้ชุ่ม
– นำกล้าลงปลูกใช้ระยะปลูก 30 x 30 เซนติเมตร หลุมละ 3 ถึง 4 ต้น รดน้ำให้ชุ่ม กุยช่ายจะอยู่ได้ 3 ถึง 4 ปี แล้วแยกกอปลูกแปลงใหม่
– คลุมแปลงปลูกด้วยฟางข้าวหรือแกลบ
– ดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย จนอายุประมาณ 7 ถึง 8 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้ - กุยช่ายเขียวจากการแยกกอปลูก
– นำกอที่แยกจากต้นแม่พันธุ์ แล้วมีการตัดใบ ตัดราก และจุ่มยากันเชื้อราแล้วมาปลูกลงในแปลงตามระยะและวิธีการเดียวกันกับกุยช่ายเขียวแบบเพาะเมล็ด
– ดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ประมาณ 4 เดือน หลังปลูกจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ - กุยช่ายขาว
วัสดุอุปกรณ์
– กระถางพลาสติกหรือกระถางดินเผา ขนาด 11x23x30 เซนติเมตร (เส้นผ่าศูนย์กลางก้นกระถาง x เส้นผ่าศูนย์กลางปากกระถาง x ความสูง)
– ตาข่ายพรางแสง (สแลน)
– ไม้ไผ่
วิธีการปลูก
- ใช้กล้าพันธุ์ที่เตรียมได้จากเหง้าหรือกอกุยช่ายเขียว ที่มีการตัดใบหรือตัดดอกจำหน่ายแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ไม่ควรมีอายุเกิน 1 ปี หรืออาจใช้ต้นกล้าอายุตั้งแต่ 3 ถึง 4 เดือน
- เมื่อแยกกอจากต้นแม่พันธุ์แล้ว ปฏิบัติตามวิธีขยายพันธุ์ข้างต้น
- นำมาปลูก 4 ถึง 6 กอ ต่อหลุม ในระยะห่างระหว่างต้น และระยะห่างระหว่างแถว 30×30 เซนติเมตร เว้นขอบแปลงด้านละ 15 เซนติเมตร แปลงขนาด 1.3 ถึง 1.5 เมตร จะได้ประมาณ 4 ถึง 5 แถว
- ใช้กระถางครอบแต่ละกอต้นกุยช่าย โดนออกแรงกดให้กระถางจมลงดินเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้กระถางล้ม
- ขุดหลุมฝังเสาไม้ พร้อมขึงตาข่ายพรางแสง
- รดน้ำวันละ 1 ครั้งในตอนเช้า หรือ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ในระยะ 10 วัน จะสามารถเก็บผลผลิตได้
กุยช่ายดอก
- มีขั้นตอนการปลูก การให้น้ำ และให้ปุ๋ยเช่นเดียวกันกับกุยช่ายเขียว แต่จะไม่มีการตัดใบจนถึงระยะแก่ กุยช่ายจะแทงช่อดอกออกมา จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
การดูแลกุยช่าย หลังการปลูก
การให้น้ำ
- รดน้ำกุยช่ายวันละ 1 ครั้ง ทุกวัน ในตอนเช้า กุยช่ายชอบน้ำชุ่มแต่ไม่แฉะ ไม่ขัง
การให้ปุ๋ย
- การให้ปุ๋ยครั้งแรก หลังย้ายปลูก 7 วัน ควรใส่ ปุ๋ย 21–0 – 0 (แอมโมเนีย ซัลเฟต ) ในดินที่เป็นด่าง อัตรา 10กิโลกรัม ต่อไร่ หรือ 13 – 0 – 0 – 26 ( แคลเซียมไนเตรท ) ในดินที่เป็นกรด อัตรา 15 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยเจาะหลุมห่างจากต้น 10 เซนติเมตรด้านใดด้านหนึ่ง และใส่อีกด้านหนึ่งในครั้งต่อไปสลับด้านกัน
- หลังการให้ปุ๋ยครั้งแรก ให้ปุ๋ยทุก 3 เดือน ใส่ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก อัตรา 1 กิโลกรัม ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 13 – 13 – 21 อัตรา 25 กิโลกรัม ต่อไร่ และ 21 – 0 – 0 ในดินที่เป็นด่าง อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อไร่หรือ 13 – 0 – 26 ในดินที่เป็นกรด อัตรา 15 กิโลกรัม ต่อไร่ ตามวิธีเดียวกันกับการให้ปุ๋ยในครั้งแรก
- หลังการเก็บเกี่ยว ใส่ปุ๋ย 21 – 0 – 0 ในดินที่เป็นด่าง อัตรา 10 กิโลกรัม ต่อไร่ หรือ 13 – 0 – 26 ในดินที่เป็นกรดอัตรา 15กิโลกรัม ต่อไร่ ตามวิธีเดียวกันกับการให้ปุ๋ยในครั้งแรก
- ทุกสัปดาห์ ควรฉีดพ่นปุ๋ยเกล็ด หรือปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง ในรูปสารละลายทางใบ
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
กุยช่ายเขียว
- กุยช่ายเขียวจากการเพาะเมล็ดสามารถตัดใบจำหน่ายได้หลังปลูกประมาณ 7 ถึง 8 เดือน และครั้งต่อไปประมาณ 45 วัน
- กุยช่ายเขียวจากการแยกกอปลูกสามารถตัดใบจำหน่ายได้หลังปลูกประมาณ 4 เดือน และการตัดใบครั้งต่อไป สามารถทำได้ในระยะประมาณ 45 วัน
กุยช่ายขาว (มักทำสลับกับการตัดกุยช่ายเขียว)
- สามารถตัดใบจำหน่ายได้หลังคลุมด้วยกระถาง ประมาณ 10 ถึง 15 วัน
- หลังจากตัดใบกุยช่ายขาวแล้ว ไม่คลุมกระถาง ซึ่งสามารถตัดกุยช่ายเขียวได้อีก ประมาณ 45 วัน
กุยช่ายดอก
- กุยช่ายดอกจากการเพาะเมล็ดสามารถตัดดอกจำหน่ายได้หลังปลูกประมาณ 8 เดือน และครั้งต่อไปประมาณ 2 เดือนครึ่ง
- กุยช่ายดอกจากการแยกกอปลูกสามารถตัดดอกจำหน่ายได้หลังปลูกประมาณ 4 เดือน และครั้งต่อไปประมาณ 2 เดือนครึ่ง
วิธีการเก็บเกี่ยว
- ใช้มีดคมๆ ตัดโคนชิดดิน นำไปล้างน้ำ
- ตัดแต่งใบ ลอกใบที่ถูกทำลายหรือใบล่างที่มีสีเหลืองออก
- คัดขนาดแล้วมัดเป็นกำๆ มัดละ 1 กิโลกรัมด้วยยางวง รอการขนส่ง
โรคและแมลงศัตรูกุยช่าย
กุยช่ายเป็นพืชที่มีโรคและแมลงรบกวนน้อยกว่าพืชชนิดอื่นๆ เนื่องจากกลิ่นที่ฉุนช่วยเป็นเกราะป้องกันด้วยตัวเอง มีโรคและแมลงไม่กี่ชนิดที่สามารถเข้าทำลายกุยช่ายได้ ดังนี้
โรคกุยช่าย
โรคต้นและดอกเน่า และโรคต้นเหลืองแคระแกรน
การป้องกันและกำจัด
- รักษาแปลงปลูกให้สะอาด
- ถากดินตรงจุดที่เป็นโรคทิ้งแล้วโรยด้วยปูนขาว ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปรับปรุงดินให้มีสภาพดีขึ้น
- เก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคนำไปเผาทำลาย
- ควรมีการปลูกพืชสลับ โดยใช้พืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่พืชตระกูลหอมกระเทียมมาปลูกหมุนเวียนกับกุยช่ายเพื่อลดพืชอาศัยของเชื้อรา เมื่อกลับมาปลูกกุยช่ายใหม่จะได้ผลดียิ่งขึ้น
โรคราสนิม
พบระบาดทำความเสียหายอย่างหนักในช่วงฤดูหนาว คือระหว่างเดือนธันวาคม จนถึงเดือนกุมภาพันธุ์
การป้องกันและกำจัด
- เก็บเศษใบและต้นพืชที่เป็นโรคไปเผาและทำลาย เพื่อกำจัดแหล่งแพร่เชื้อ
- ปรับปรุงดินด้วยปูนขาวและปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อฟื้นฟูสภาพของดินให้อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม พืชจะเจริญเติบโตได้ดี มีความต้านทานต่อโรค เป็นการช่วยป้องกันโรคทางอ้อม
- ปลูกพืชอื่นที่ไม่ใช่พืชตระกูลหอมกระเทียมมาสลับกับกุยช่าย เพื่อลดพืชอาศัยของเชื้อราทำให้เชื้อราลดจำนวนลงเรื่อยๆ
แมลงศัตรูกุยช่าย
แมลงที่พบคือ แมลงปากกัด และหนอนชอนใบ
การป้องกันและกำจัด
- โดยการพ่นด้วยอะมาเม็กติน ตามอัตราส่วนที่แนะนำในฉลากกำกับ
- โดยการพ่นด้วยน้ำส้มควันไม้
การทำน้ำส้มควันไม้ (สูตรลุงอ้วน)
วัสดุอุปกรณ์
- ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ใบ
- ปีบ 1 ใบ
- ท่อใยหิน ขนาด 4 นิ้ว ยาว 1 เมตร 1 ท่อ
- ข้องอขนาด 4 นิ้ว 2 อัน
- เหล็กเส้นขนาด 4 หุน ยาว 30 เซนติเมตร 5 ท่อน
- ไม้ไผ่ขนาด 4 นิ้ว ยาว 4 เมตร 1 ท่อน
วิธีทำ
- เจาะหลังถังน้ำมัน ขนาด 25 x 50 เซนติเมตร (กว้างxยาว) เก็บไว้ใช้เป็นฝาปิด
- ตัดปีบออกหนึ่งแถบ ตัดฝาออกหนึ่งแถบ เจาะด้านก้นปีบเหลือครึ่งหนึ่ง เพื่อป้องกันเปลวไฟพุ่งออกด้านหน้า
- เจาะรูวงกลมด้านหลังเป็นวงกลมสำหรับใส่ข้องอและท่อระบายอากาศ
- นำเหล็กเส้น 4 หุน ยาว 4 เมตรมาทำตะแกรงรองไม้ฟืนเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ใช้ท่อไม้ไผ่ขนาด 4 นิ้ว ยาว 4 เมตร ทะลุปล้องไม้ไผ่ตลอดลำท่อน เพื่อระบายอากาศและเป็นที่ระบายของควันไฟ
- เจาะรูใต้ท่อไม้ไผ่ห่างจากข้องอ 20 เซนติเมตร เพื่อรองน้ำส้มควันไม้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำพันที่ท่อไม้ไผ่ เพื่อให้ไอความร้อนจากควันไฟไปกระทบกับผ้าที่ชุบน้ำ ทำให้เกิดน้ำส้มควันไม้ไหลลงรูที่เจาะเอาไว้
- นำถังมารองใต้รูที่เจาะไว้ จะได้น้ำส้มควันไม้
วิธีใช้น้ำส้มควันไม้ไล่แมลง
- ใช้น้ำส้มควันไม้ประมาณ 7 ถึง 10 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นหรือรดเพื่อไล่แมลง
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่
(แหล่งข้อมูล : www.puechkaset.com, www.paiboonrayong.com, http://nfemaemoh.blogspot.com)