เม็ดมะม่วงหิมพานต์
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยังคงมีความอร่อย และราคาสูง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ประโยชน์ และรสชาติความมันของ เม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้น คุ้มค่า คุ้มราคาจริงๆ เมื่อเรานำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มาอบ หรือทอดเป็นของขบเคี้ยว ความมันที่ได้ลิ้มรส ทำให้พากันคิดว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับถั่ว ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ มะม่วงหิมพานต์
มะม่วงหิมพานต์ หรือ Cashew nut เป็นไม้ดอกยืนต้น กลุ่มเดียวกับมะม่วง และถั่วพิสตาชีโอ มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล นำเข้ามาปลูกครั้งแรกที่ภาคใต้ของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2444 โดยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็นพืชที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง ประกอบด้วยโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันที่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เมื่อบริโภคเข้าไปจะไม่เพิ่มไขมันในเส้นเลือด) คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ, บี, อี และเกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ไม่ผลัดใบ
- ลำต้น มีความสูง 10 ถึง 12 เมตร ต้นเตี้ย กิ่งก้านสยายไม่สม่ำเสมอ
- ใบ เรียงเป็นแบบเกลียว ผิวมันลื่น รูปโค้งจนถึงรูปไข่ มีความยาว 4 ถึง 22 เซนติเมตร และกว้าง 2 ถึง 15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
- ดอก มีสีเขียวซีด จากนั้นเปลี่ยนเป็นแดงจัด มี 5 กลีบ ปลายแหลม เรียว ยาว 7 ถึง 15 มิลลิเมตร
- ผล รูปไข่หรือรูปลูกแพร์ คือ ผลวิสามัญ ซึ่งจะเติบโตจากฐานดอกขึ้นมา เมื่อสุกจะมีสีเหลืองหรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5 ถึง 11 เซนติเมตร
ผลแท้ของมะม่วงหิมพานต์นั้น เป็นผลเมล็ดเดียว รูปไต หรือรูปนวมนักมวย งอกออกจากปลายของผลเทียม โดยขยายตัวออกมาจากก้านดอกเป็นผลเทียม ภายในผลแท้นั้น เป็นเมล็ดเดี่ยว เนื้อขาวนวลนั้นเป็นผลที่มีเปลือกแข็ง (nut) แต่ในทางพฤกษศาสตร์ถือว่า เป็นเมล็ด (seed)
สรรพคุณและประโยชน์ ของ เม็ดมะม่วงหิมพานต์
นอกจากจะเป็นส่วนประกอบของอาหารคาว หวาน ยังมีการนำมารับประทานเป็นของกินเล่น อบกรอบ หรือทอด แต่สรรพคุณและประโยชน์ ของ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีมากกว่าความอร่อย
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมด้วยวิตามิน โปรตีน และไขมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน E เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรค จากการรับประทานเมล็ด คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ประสาทจอตาเสื่อม
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีแมกนีเซียมจำนวนมากช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน ตลอดจนกระดูกให้แข็งแรง และลดความดันโลหิตได้
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด เพราะมีกรดไลโนเลอิก
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใยอาหารสูง ลดการดูดซึมไขมันได้ดี ช่วยด้านรูปร่างให้สมส่วนได้
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเป็นประโยชน์ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย
- ใบแก่นำมาตำรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้
- ผลและใบมีสรรพคุณลดไข้ได้
- เปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการปวดฟันได้
- เปลือกของต้นมะม่วงหิมพานต์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
- ยางจากต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้
คุณค่าทางพลังงาน
จากข้อมูลทางโภชนาการ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่ นับว่ามีพลังงานสูงมาก
ข้อควรระวัง ในการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์
- ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1 กำมือ เนื่องจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีพลังงานสูงมาก และถึงแม้จะมีไขมันดีอยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แต่เมื่อสะสมไว้ในร่างกายในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้อ้วนได้
- อาจเป็นพิษ ทำความระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรง ในบางคนแพ้มะม่วงหิมพานต์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพืชผลเปลือกแข็งชนิดอื่นแล้ว ยังนับว่ามีปริมาณการเกิดพิษน้อย
- เลือกรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพ
การปลูกมะม่วงหิมพานต์
มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชที่ปลูกง่าย เติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิดสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด การดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ต้องการน้ำน้อย
สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
สายพันธุ์มะม่วงหิมพานต์ มีอยู่ทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 400 พันธุ์ แต่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า ในปัจจุบันมีไม่มากสำหรับประเทศไทย พันธุ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป มีดังนี้
- พันธุ์ศรีสะเกษ 60 เมล็ดจัดอยู่ในเกรด 3 ของมาตรฐานตลาดโลก เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างทนทานต่อโรคยางไหล โรคผลเน่าและโรคช่อดอกแห้ง ซึ่งเป็นโรคที่สำคัญของมะม่วงหิมพานต์
- พันธุ์ศรีสะเกษ 60-2 เมล็ดจัดอยู่ในเกรด 3 ของมาตรฐานตลาดโลก เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างทนทานต่อโรคยางไหล โรคผลเน่า และโรคช่อดอกแห้ง เช่นกัน
- พันธุ์ศิริชัย 25 : พบเมื่อปี 2525 ที่จังหวัดจันทบุรี โดยบริษัทมาบุญครองศิริชัยมะม่วงหิมพานต์ จำกัด ขนาดเมล็ดอยู่ในขนาดใกล้เคียงมาตรฐานโลก
- พันธุ์เกาะพยาม : เป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดระนอง โดยปลูกมากในพื้นที่ตำบลเกาะพยาม ขนาดเมล็ดใหญ่
การคัดเลือกพันธุ์
- ต้องเป็นพันธุ์ที่เมล็ดใหญ่ จำนวนเมล็ดต้องไม่เกิน 150เมล็ด ต่อกิโลกรัม
- ต้องเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงประมาณ 20 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อปี
- เป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี
- ต้องเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสม่ำเสมอทุกปี
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
- เลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ดี
- นำมาเพาะใส่ถุงพลาสติก ขนาด ประมาณ 5 ถึง 8 นิ้ว หรือสามารถเลือกใช้วิธีขุดหลุมปลูก
- กดเมล็ดลงในดิน วางเอียง ทำมุม 45 องศา
- เมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณไม่เกิน 4 เดือน นำต้นกล้าปลูกลงดิน
วิธีการย้ายกล้า
- ขุดหลุมกว้าง ยาว ลึก ประมาณ 50 ถึง 100 เซนติเมตร เท่ากัน และปลูกเว้นระยะห่างระหว่างต้น และระหว่างแถว 6 เมตรเนื่องจากเมื่อต้นมะม่วงหิมพานต์เจริญเติบโตเต็มที่ ใบกิ่งก้านจะแผ่ขยายออกใช้พื้นที่กว้างพอสมควร หากปลูกชิดกันเกินไป ต้นจะเบียดกัน ให้ผลผลิตได้ไม่เต็มที่
- ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณ3 ถึง 5 กิโลกรัม ผสมกับดิน เทลงไปในหลุมประมาณครึ่งหลุม
- นำต้นกล้ามะม่วงหิมพานต์ที่จะปลูกวางลงในหลุม โดยให้โคนต้นอยู่เหนือปากหลุมเล็กน้อย ก่อนที่จะกลบดินอีกครั้ง
- ทำไม้ค้ำลำต้นกันลม ไม่ให้พัดลำต้นล้ม แล้วจึงกลบดินลงให้แน่น
***ในพื้นที่ 1 ไร่ ควรปลูกมะม่วงหิมพานต์ไม่เกิน 45 ต้น***
การปลูกมะม่วงหิมพานต์ต้องใช้เวลาเป็นปีจึงจะให้ผลครั้งแรก ผู้ปลูกจะต้องดูแลเรื่องวัชพืช และแมลงที่จะมารบกวน เพื่อรักษาต้นให้ได้ผลผลิตอย่างคุ้มค่าแก่การรอคอย เมื่อปลูกมะม่วงหิมพานต์เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ ดูแล ป้องกันโรคและแมลง รวมถึงเทคนิคส่งเสริมให้ผลผลิตมีคุณภาพ ผู้อ่านสามารถติดตามได้ในบทความ การดูแลมะม่วงหิมพานต์ หลังการปลูก และการแปรรูป นะคะ นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ไว้ในบทความ ปัญหาในการปลูกมะม่วงหิมพานต์ และ การป้องกันและแก้ไข โรคและแมลงศัตรูมะม่วงหิมพานต์
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่
(แหล่งข้อมูล : www.sukkaphap-d.com, https://th.wikipedia.org/wiki/มะม่วงหิมพานต์)