วางแผนปลูกพริกไทย ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต

ปลูกพริกไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พริกไทย

เทคนิคการปลูก พริกไทย ที่ช่วยลดต้นทุน แถมยังเพิ่มผลผลิต

แผนการปฏิบัติงานเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพสำหรับสวนพริกไทย ตั้งแต่การเริ่มปลูก-การทำผลผลิตคุณภาพ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปลูกพริกไทย

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพริกไทย

พื้นที่ ที่ไม่มีน้ำท่วมขัง สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 0-1200 เมตร มีความลาดเอียงประมาณ 0-25 องศา แต่ถ้าลาดเอียงมากกว่า 15 องศา ควรทำขั้นบันไดเพื่อป้องกันการพังทะลายของหน้าดิน พื้นดินที่เป็น ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี มีความลึกของหน้าดินมากกว่า 50 เซนติเมตร และมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

วิธีการปลูก การเตรียมกิ่งพันธุ์ พริกไทย ทำได้ 2 วิธี คือ

1. ตัดจากค้างที่สมบูรณ์ เหนือพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร ตัดเป็นท่อนยาว 5-6 ข้อ ตัดกิ่งแขนงข้อที่ 1-3 ดอก แล้วนำไปปลูกลงหลุม หลุมละ 20 กิ่ง

2. นำกิ่งพันธุ์ที่ตัดเป็นท่อนแล้ว ปักชำในถุงพลาสติก ขนาด 9×14 นิ้ว ประมาณ 2-3 เดือน พริกไทยจะงอกรากและแตกยอด จึงค่อยย้ายมาปลูกลงในแปลง

ระยะปลูก

– พันธุ์ซาราวัค (มาเลเซีย) ใช้ระยะ 2×2 เมตร

– พันธุ์ซีลอน ใช้ระยะปลูก 2.25 x 2.25 หรือ 2.25 x 2.5 เมตร

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปลูกพริกไทย
การปักค้าง

ใช้ค้างไม้แก่นหรือค้างปูนซีเมนต์ ขนาด 4x4x4 เมตร ฝังลึก 50-60 เซนติเมตร กลบดินให้แน่น หลังจากนั้นขุดหลุมขนาด 40×50 เซนติเมตร ลึก 40 เซนติเมตร ค้างละ 1 หลุม ห่างจากโคนค้าง 15 เซนติเมตร ผสมดินกับปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วนดิน 3 ส่วน ต่อ ปุ๋ย 1 ส่วน แล้วใส่ในหลุมประมาณครึ่งหลุม นำยอดพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลุกหลุมละ 2 กิ่ง ให้ปลายยอดเอนเข้าหาค้าง กลบดินให้แน่นรดน้ำให้ชุ่ม ใช้สแลนพรางแสงไว้ ประมาณ 3-4 เดือน หรือจนกว่าพริกไทยจะตั้งตัวได้

การดูแลรักษา การตัดแต่ง

– ปีที่ 1 เหลือยอดที่สมบูรณ์ไว้ ค้างละ 4-6 ยอด ใช้เถาวัลย์หรือเชือกฟางผูกยอด ให้แนบติดกับค้างโดยผูกขอเว้นข้อ จนกระทั่งพริกไทยอายุ 1 ปี ตัดเถาให้เหลือ 50 เซนติเมตร จากระดับผิวดิน

– ปีที่ 2 ตัดแต่งเช่นเดียวกับปีแรก จนกว่าพริกไทยจะสูงเลยค้างไปประมาณ 30 เซนติเมตร ให้ผูกไว้บนยอดค้าง และใช้เชือกไนล่อนผูกทับเถาวัลย์เดิมเป็นเปลาะ ๆ ห่างกัน 40-50 เซนติเมตร

– ปีที่ 3 ตัดไหลและปรางบริเวณโคนต้น ปลิดใบที่ลำต้นออก เพื่อให้โคนโปร่ง ถ้าพริกไทยยังไม่ถึงยอดค้าง เด็ดช่อดอกออกให้หมด เพราะจะทำให้พริกไทยเจริญเติบโตช้า

การใส่ปุ๋ย

ช่วงแรกใส่ ปุ๋ยอินทรีย์แท้ ปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 400-500 กรัม/ค้าง แบ่งใส่เดือนละ 1กำมือต่อต้น ในกรณีที่ดินมีสภาพเป็นกรด ให้ผสมสารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ ชนิดน้ำ สามารถปล่อยไปกับการให้น้ำ อัตราส่วน 500 cc ต่อ 2 ไร่ ทุกๆ 2-3 เดือน

การให้ปุ๋ยอาจให้ปุ๋ยตามเกณฑ์ดังนี้

– ปีที่ 1 สูตร 15-15-15 อัตรา 400-500 กรัม (3-5 กำมือ)/ค้าง หรือ สูตร 15-15-15 อัตรา 100 กรัม (1 กำมือ) + ปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วน 400 กรัม (2-3 กำมือ)

– ปีที่ 2 สูตร 15-15-15 อัตรา 800-1,000 กรัม (4-5 กำมือ)/ค้าง แบ่งใส่ 3-4 ครั้ง หรือ สูตร 15-15-15 ด้วยอัตราส่วน 200 กรัม (1 กำมือ) + ปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วน 800 กรัม (4-5 กำมือ)

– ปีที่ 3 และปีต่อๆ ไป ให้ทำตามนี้

ครั้งที่ 1 ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วน 800 กรัม/ค้าง ใส่หลังเก็บเกี่ยว

ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วน 500 กรัม (3 กำมือ)/ค้าง ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน

ครั้งที่ 3 สูตร 15-15-15 อัตรา 100-200 กรัม/ค้าง + ปุ๋ยอินทรีย์แท้ อัตราส่วน 400 กรัม (2-3 กำมือ) ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม

การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ

ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง (ฝาแดง) อัตราส่วน 20-30 cc + อาหารรองและอาหารเสริม อัตราส่วน 5 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นยาทุกๆ 15 วัน จะทำให้พริกไทยมีผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% และช่วยป้องกันการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืชได้ดี ช่วยลดต้นทุนสารเคมีได้กว่า 50% ช่วงฤดูฝนแนะนำให้ผสม สารจับใบสูตรเข้มข้น ที่อัตราส่วน 5 cc ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันการชะล้างจากน้ำฝน ทำให้ใบพืชดูดซึมได้รวดเร็ว มากกว่าและนานกว่า

หมายเหตุ การใส่ปุ๋ยเคมีเป็นประจำบ่อยๆ จะทำให้ดินเสื่อมสภาพเร็ว และอายุการให้ผลผลิตของต้นพริกไทยสั้นลง ดังนั้น แนะนำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง โดยผสมปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี ในอัตราส่วน 4:1 ในทุกครั้งของการใส่ที่แนะนำข้างต้น เพื่อลดต้นทุน โดยที่ผลผลิตได้มากกว่า เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์ จะปลดปล่อยปุ๋ยให้รากพืชได้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า ช่วยในการปรับสภาพดิน และ และยังช่วยดูดซับลดการสูญเสียของปุ๋ยเคมีในแต่ละรอบของการใส่ ลดต้นทุนได้ประมาณ 20-50% ต่อรอบการผลิต

การให้น้ำ

ควรให้แบบมินิสปริงเกอร์ mini sprinkler ระยะเวลาการให้น้ำ หลังปลูกควรรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน เมื่อพริกไทยตั้งตัวได้ ลดเหลือ 2-3 วัน/ครั้ง พริกไทยที่ให้ผลผลิตแล้วควรให้ 3-4 วัน/ครั้ง ตามสภาพดินฟ้าอากาศ

แมลงศัตรูพืชที่พึงระวัง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มวนแก้ว

“มวนแก้ว” วางไข่เป็นกลุ่ม ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดน้ำเลี้ยงจากช่อดอก ทำให้ช่อดอกแห้งเป็นสีน้ำตาล ไม่ติดเมล็ด ผลผลิตลดลง ป้องกันโดยการเก็บตัวอ่อนเผาทำลาย และใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ ถ้าระบาดรุนแรงฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

“ด้วงงวงเจาะเถาพริกไทย” ตัวอ่อนเจาะทำลายเถาพริกไทย ทำให้เถาแห้งตาย ส่วนตัวเต็มวัยจะกันกินใบและผลพริกไทย ป้องกันโดยเผาทำลาย เถาพริกไทยที่พบรอยเจาะของหนอนด้วงงวง ป้องกันโดยการใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ ถ้าเริ่มพบการระบาด ฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

“เพลี้ยอ่อน” ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และผลอ่อน ทำให้ใบและยอดแคระแกรน บิดงอ ไม่ติดเมล็ด ป้องกันโดยเก็บทำลาย หรือฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

“เพลี้ยแป้ง” ตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากช่อดอก ใบ และเถาพริกไทย เพลี้ยแป้งจะขับถ่ายมูลเป็นน้ำหวาน จึงพบว่ามดเป็นตัวพาเพลี้ยแป้งไปปล่อยยังส่วนต่าง ๆ ของต้นพืช ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก ร่วมกับ สารจับใบเข้มข้น จีแอล และป้องกันมดซึ่งเป็นพาหะด้วยการใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ

โรคที่สำคัญ

“โรครากเน่า” เกิดจากเชื้อรา อาการระยะแรกเถาจะเหี่ยวในเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วง ต่อมาปราง (กิ่งแขนง) เริ่มหลุดเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่โคนต้นถึงยอดขั้วกิ่งเป็นสีเหลืองและดำ ส่วนรากเน่าดำและมีกลิ่นเหม็น ป้องกันโดยอย่าให้น้ำขังในฤดูฝน เผาทำลายต้นที่เป็นโรค และใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา ในอัตราส่วน 50-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือฉีดพ่นที่ผิวดินเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน

“โรครากขาว” เกิดจากเชื้อรา ใบเหลืองและร่วง พบเส้นใยสีขาวปกคลุมที่รากบางส่วน ป้องกันโดยเผาทำลายส่วนที่เป็นโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา “ไตรโคแม็ก” อัตรา 50-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือฉีดพ่นที่ผิวดินเป็นประจำถ้าระบาดรุนแรงใช้ควินโตซีน ผสมน้ำราดหรือฉีดพ่น

“โรครากปม” เกิดจากไส้เดือนฝอยรากปม เข้าทำลายที่รากฝอย เกิดเป็นปมเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ทำให้ผนังเซลล์เป็นแผล เป็นสาเหตุให้โรคอื่น ๆ เข้าร่วมทำลายได้ง่าย ป้องกันโดยคลุมดินก้นหลุมก่อนปลูกด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดไส้เดือนฝอย ”พีแม็ก” อัตรา 50 กรัมต่อหลุม และใช้อัตรา 50 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ราดรอบทรงพุ่มในช่วงต้นและปลายฤดูฝนปีละ 1-2 ครั้ง

“โรคแอนแทรกโนส” เกิดจากเชื้อรา ทำลายส่วนใบของพริกไทย เกิดเป็ดจุดวงกลมสีน้ำตาลดำหรือสีดำ ผิวเป็นเงามัน รอบจุดเป็นสีเหลือง ตรงกลางแผลมีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลดำเรียงซ้อนกันเหมือนวงปีของเนื้อไม้ ถ้าเป็นรุนแรงอาจทำให้ตายได้ ป้องกันโดยตัดแต่งกิ่งและเก็บไปเผาทำลาย และใช้ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา “ไตรโคแม็ก” ฉีดพ่นเป็นประจำในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่น้ำค้างแรง หรืออาจพ่นด้วยเบนโนมิล หรือแมนโคเซบ หรือคาร์เบนดาซิม อัตราตามฉลาก

“โรคราเห็ดพริกไทย” เกิดจากเชื้อราเป็นเส้นใยสีขาวเจริญบนผิวเปลือกของลำต้น กิ่ง และใต้ใบ ทำให้ลำต้น กิ่งใบ แห้ง และตายได้ ป้องกันโดยอย่าให้น้ำท่วมขัง ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และพ่นด้วยคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85%

การเก็บเกี่ยว ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม

– บริโภคสด หลังพริกไทยติดผล 3-4 เดือน

– ส่งโรงงานทำพริกไทยดอง หลังติดผล 4-5 เดือน

– ทำพริกไทยดำ เก็บเมื่อพริกไทยยังเขียวอยู่ หลังติดผล 6-8 เดือน

– ทำพริกไทยขาว เก็บเมื่อผลเริ่มสุกเป็นสีแดง หลังติดผล 6-8 เดือน

ข้อสังเกตและเปรียบเทียบหลังจากใช้ไบโอเฟอร์ทิล และปุ๋ยอินทรีย์ ตามคำแนะนำ เป็นประจำ

1. ต้นพริกไทยสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตมาก ดอกติดดก, ขั้วเหนียวและ ต้นจะมีอายุยืนกว่าสวนที่ไม่ได้ใช้

2. เมื่อใช้เป็นประจำ (3-4 ครั้งขึ้นไป) จะสังเกตได้ว่าแมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงด้วงกัดกินใบ ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)

3. ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)

4. สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง

5. เมื่อใช้ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ 20-50%

6. การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมด้วยเป็นประจำ จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม เนื่องจากสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รากปมในพริก
การแก้ไขพริกไทยที่เป็นรากปมเนื่องจากถูกไส้เดือนฝอยเข้าทำลายราก

เมื่อพบอาการ ให้รีบใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดไส้เดือนฝอย “พีแม็ก” อัตรา 100 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร + ไบโอเฟอร์ทิล สูตรไล่แมลง(ฝาแดง) อัตรา 50-100 ซีซี ผสมให้เข้ากัน ฉีดพ่นบริเวณรอบทรงพุ่มที่บริเวณที่มีรากของต้นพริกไทย จำนวน 2 ครั้งห่างกันครั้งละ 15 วัน โดยก่อนฉีดพ่นให้ใช้คราดขูดเปิดผิวดินบาง ๆ และรดน้ำผิวดินให้ชุ่มชื้นเพื่อให้เนื้อสารกระจายตัวได้ดี จากนั้นจึงค่อยฉีดพ่น (“พีแม็ก” 1 ซอง จะผสมน้ำได้ 40 ลิตร ใช้ฉีดพ่นผิวดินรอบทรงพุ่มได้ประมาณ 50-80 ต้นทรงพุ่มละประมาณครึ่งลิตร) หลังจากนั้น แนะนำให้ใช้ป้องกันและกำจัดโดยใช้ทุกๆ 3-6 เดือน

กระบวนการในการทำงาน (ฆ่าไส้เดือนฝอย) ของ “พีแม็ก” จะมีขั้นตอนดังนี้คือ

1. หลังจากฉีดพ่น 3-5 วันแรก เชื้อจุลินทรีย์ พีแม็ก จะเริ่มฟักตัวและขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณในดิน โดยใช้อาหารส่วนหนึ่งจาก “ไบโอเฟอร์ทิล” ที่ผสมเข้าไป และต้นฝรั่งเมื่อได้รับไบโอเฟอร์ทิลจะเริ่มทรงตัว(ไม่โทรมลงกว่าเดิม)

2. หลังจากนั้น จุลินทรีย์จะเริ่มทำงานเต็มที่ โดยทำลายไข่ไส้เดือนฝอย,ไส้เดือนฝอยเพศเมีย โดยไข่ไส้เดือนฝอยจะถูกทำลาย ประมาณ 14 วัน และตัวแก่เพศเมียจะเริ่มตายลงตามลำดับ

3. หลังการฉีดพ่นครั้งที่ 2 (ห่างจากครั้งแรก 15 วัน) จะทำให้ไข่และเพศเมียที่เหลือถูกทำลาย

4. ตัวแก่เพศผู้ อื่นๆ จะเริ่มทยอยตาย โดยการขยายพันธุ์ของไส้เดือนฝอยศัตรูพืช จะลดลงตามลำดับ เนื่องจากไม่มีเพศเมียที่สามารถขยายพันธุ์และวางไข่ได้(ใช้เวลาประมาณ 30-60 วัน)

หมายเหตุ

1. จะสังเกตเห็นได้ว่าต้นเริ่มมีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับหลังจากใช้ตามคำแนะนำ ประมาณ 20-40 วัน (ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับสภาพต้นแต่ละต้นในแปลงว่าโดนไส้เดือนฝอยเข้าทำลายมากน้อยเพียงใด)

2. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และฮอร์โมนจากธรรมชาติ ร่วมกับ”พีแม็ก” จะช่วยกระตุ้นการทำงานของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยป้องกันและลดการเข้าทำลายของไส้เดือนฝอยได้ดีและเร็วขึ้น

3. เชื้อจุลินทรีย์ “พีแม็ก” เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นในการใช้งานทุกครั้งต้องมั่นใจว่าภาชนะที่บรรจุ ปราศจากสารเคมีตกค้าง เพราะจะทำให้เชื้อตายหรือทำงานได้ไม่เต็มที่หรือไม่ได้ผล(ควรซื้อถังฉีดสะพายหลังใหม่ สำหรับใช้โดยกับกรณีนี้โดยเฉพาะ)

4. หลังจากต้นเริ่มดีขึ้น อย่าพึ่งวางใจและหยุดใช้ เนื่องจากพื้นดินหรือในพื้นที่นั้นอาจมีไส้เดือนฝอยปะปนอยู่ทั่วไป เปรียบได้กับคนซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง การรักษาต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยอาจฉีดซ้ำอีก 1-2ครั้ง หรือฉีดพ่นควบคุมและป้องกันอัตราตามที่แนะนำ ทุกๆ 3-6 เดือน/ครั้ง เพื่อป้องกันเข้าทำลายและการระบาดของไส้เดือนฝอยจากแหล่งข้างเคียง

5. หากมีอาการรากเน่าแทรกซ้อน(เนื่องจากเชื้อไฟท๊อปเทอร่าเข้าบริเวณแผลที่ถูกไส้เดือนฝอยทำลาย) สังเกตจากเมื่อขุดรากขึ้นมาดู มีอาการรากเน่าเป็นสีน้ำตาล หรือรากถอดปลอก ให้ผสม “ไตรโคแม็ก” ร่วมกับการใช้ “พีแม็ก” ในแต่ละครั้งด้วย

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่

Comments

comments