การดูแลผักไฮโดรโปนิกส์
การดูแลผักไฮโดรโปนิกส์ ไม่ได้มีเพียง การป้องกันโรคของผักไฮโดรโปนิกส์ ด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา, การกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ด้วยสมุนไพร หรือเรื่องแสง และอุณหภูมิเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว การดูแลผักไฮโดรโปนิกส์ ยังรวมถึง การดูแลเรื่องการเจริญเติบโตของผักไฮโดรโปนิกส์, การเก็บเกี่ยว ตลอดจนถึงการขนส่งผักไปสู่ตลาด เกษตรกรหรือผู้ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ จะต้องดูแลผักไฮโดรโปนิกส์อย่างไรบ้าง?…ติดตามรายละเอียดในบทความนี้นะคะ
การเจริญเติบโต
มีหลายสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหรือหัวใจหลักของ การดูแลผักไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเกษตรกรควร บริหารจัดการให้ถูกต้อง เพื่อผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ ดังนี้
การจัดการธาตุอาหาร
ธาตุอาหารที่ครบถ้วน เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของ การดูแลผักไฮโดรโปนิกส์ ที่ต้องได้รับการปฏิบัติให้ถูกต้อง
สิ่งที่ควรระวัง :
- การให้สารละลายธาตุอาหารหรือปุ๋ย เริ่มหลังจากนำต้นอ่อนลงรางปลูกแล้ว 1 วัน จึงเริ่มใส่ปุ๋ย
- ใส่สารละลายธาตุอาหาร A ในน้ำก่อน แล้วทิ้งให้ละลายประมาณ 6 ชั่วโมงจึงใส่ B ตาม เพราะส่วนผสมในสารละลาย A และ B บางตัว จะจับตัวคล้ายกับหินปูนอยู่ในถังพักถ้าใส่พร้อมกัน ไม่ไหลไปกับน้ำเพื่อให้อาหารพืช
อัตราส่วนของสารละลายธาตุอาหาร โดยทั่วไปคือ 2ซีซี ต่อน้ำในระบบ 1 ลิตร (น้ำในระบบ หมายถึง น้ำในถัง+น้ำในท่อ x 2ซีซี)
ตัวอย่างเช่น ใส่สารละลายธาตุอาหาร A ลงในน้ำเวลา 8.00น.ปริมาณน้ำในถัง 200ลิตร + ในท่อ 200ลิตร รวมเป็น 400ลิตร x 2ซีซี= ต้องใส่สารละลายธาตุอาหาร 800ซีซี เวลา 16.00น. (หลังจากใส่สารละลายธาตุอาหาร A ไป 6 ชั่วโมง) ใส่สารละลายธาตุอาหาร B ลงไปอีก 800ซีซี เท่ากันกับ A **ระดับน้ำในท่อต้องลึกตามที่แต่ละระบบกำหนดไว้** การใส่สารละลายธาตุอาหารในครั้งต่อไป ให้ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งทั้ง A และ B จากตัวอย่าง A จะลดเหลือ =400ซีซี และ B จะลดเหลือ =400ซีซี เช่นกัน โดยทิ้งช่วงเวลาการใส่สารละลายธาตุอาหารแต่ละชนิดเท่ากันกับครั้งแรก **เพื่อให้ง่ายในการผสมสารละลายธาตุอาหาร, ป้องกันการทำปฏิกิริยาทางเคมีของสาร และประหยัดเวลา เกษตรกรสามารถ แยกเตรียมสารละลายไว้ 2 ถัง คือ A 1 ถัง และ B 1 ถัง เมื่อต้องการใช้จึงนำมาผสมกันในถังพักเพื่อจ่ายลงไปยังรางปลูก ง่ายต่อการใช้งานทั้งแบบเข้มข้นและแบบเจือจาง** **น้ำที่ใช้เตรียมสารละลายที่มีคุณภาพดี คือ ที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถดื่มได้ หากปลูกเชิงการค้าควรมีการวัดค่าทุกวัน** **การนำสารละลายธาตุอาหารแบบผงมาใช้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ต้องไม่ลืมเก็บสารละลายที่ผสมน้ำแล้วไว้ในที่มืดเสมอ**
การตรวจสอบสารละลายธาตุอาหาร
ธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืชมีอยู่ 16 ธาตุด้วยกัน แต่ธาตุอาหารหลักที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต และพืชต้องการใช้ในปริมาณมากมีอยู่ 3 ธาตุ คือ ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม นอกจากนี้พืชยังต้องการธาตุอาหารรองอย่าง แคลเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน และธาตุอาหารเสริมที่พืชขาดไม่ได้แต่ใช้ปริมาณน้อยกว่าธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง คือ สังกะสี, ทองแดง, แมงกานิส, เหล็ก, โบรอน, โมลิบดีนัม และ คลอรีน ปัจจุบัน มีผลการวิจัยในต่างประเทศ ว่ามีธาตุอาหารรองเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ชนิดคือ นิเกิล มีความสำคัญต่อระบบเอ็นไซม์ ปลดปล่อยไนโตรเจนให้อยู่ในรูปที่พืชดูดซึมไปใช้ได้ และช่วยให้พืชดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ พืชจะสะสมนิเกิลไว้ในเมล็ดเพื่อประโยชน์ในการงอก ทำให้เมล็ดพืชงอกได้สูงขึ้น
ข้อสังเกตเมื่อพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อ หรือไม่ครบทุกชนิด
ธาตุอาหารที่ขาด | อาการ |
ไนโตรเจน | ใบเหลืองจากปลายใบ หากรุนแรง ใบจะแห้งตาย |
ฟอสฟอรัส | ใบล่างและลำต้นมีสีแดงอมม่วง |
โพแทสเซียม | ใบเหลืองจากขอบใบเริ่มจากใบล่าง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้าสู่กลางใบ |
แคลเซียม | ใบอ่อนบิดม้วน ยอดหงิก ใบคลี่ได้ไม่เต็มที่ |
แมกนีเซียม | เส้นใบมีสีเขียว แต่เนื้อเยื่อจากเส้นใบไปถึงขอบจะเหลือง |
กำมะถัน | ใบอ่อนหรือใบบนเหลืองทั้งใบ |
สังกะสี | ขอบเส้นกลางใบของใบอ่อนจะเหลือง ใบเล็กผิดปกติ |
ทองแดง | ปลายใบอ่อนสีซีดหรือขาว |
แมงกานิส | มีจุดสีน้ำตาลบนใบ มีสีเหลืองระหว่างเส้นใบ |
เหล็ก | ใบอ่อนมีสีเหลืองระหว่างเส้นใบ |
โบรอน | ใบย่น หนาผิดปกติ ม้วน ขาดง่าย |
โมลิบดีนัม | มีจุดน้ำตาลไหม้บนใบ หรือใบเหลือง |
คลอรีน | ใบเหลือง ปลายใบแห้ง |
นิเกิล | พืชให้ผลผลิตไม่เต็มที่ |
วิธีตรวจสอบสารละลายธาตุอาหาร
- การตรวจสอบค่า pH—น้ำต้องมีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.5-7.2 เมื่ออ่านค่า pH จากเครื่องมือ pH Meter แล้วปรากฏว่า สารละลายธาตุอาหารมีความเป็นกรดมากเกินไป ให้เติม โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์, โซเดียมไฮดรอกไซด์, โซเดียมคาร์บอเนตหรือแอมโมเนียไฮดรอกไซด์ สารใดสารหนึ่งลงในสารละลายธาตุอาหาร ถ้าเป็นด่างมากเกินไป ให้เติมกรดซัลฟูริก, กรดไนตริก, กรดไฮโดรคลอริก, กรดฟอสฟอรัสหรือกรดซิตริก สารใดสารหนึ่งลงในสารละลายธาตุอาหาร **ก่อนใช้เครื่อง pH Meter** ใช้น้ำยามาตรฐานที่เรียกว่า ‘สารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐาน’ ปรับความเที่ยงตรงของเครื่องมือก่อน
- การตรวจสอบค่า EC— โดยใช้เครื่อง EC Meter วัดค่า EC ของน้ำที่ใช้เตรียมสารละลายธาตุอาหารและวัดค่า EC ของสารละลายธาตุอาหารที่เตรียมเสร็จแล้ว ค่าที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของสารละลายธาตุอาหาร (คือ อุณหภูมิสารละลายธาตุอาหารสูง ค่า EC ก็จะสูงตาม) **ก่อนใช้เครื่อง EC Meter**ให้กดปุ่มปรับความเที่ยงตรงของเครื่องก่อน
** เครื่อง pH Meter กับ EC Meter ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?** เครื่อง pH Meter ใช้วัดค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (ค่า pH) เพื่อให้ทราบว่าพืชได้รับธาตุอาหารพอเพียงต่อความต้องการหรือไม่ และ ในสารละลายธาตุอาหารมีปริมาณออกซิเจนพอเพียงหรือไม่ เครื่อง EC Meter ช่วยควบคุมค่ารวมของการนำไฟฟ้าของสารละลายธาตุอาหารทั้งหมด **หากเป็นการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ไว้บริโภคในครัวเรือน ก็ประหยัดด้วยการไม่ใช้เครื่องมือวัดค่า แต่ใช้สารละลายอาหารตามที่ผู้ผลิตกำหนดก็ได้ และถ้าไม่มีฝนตกมาปนเปื้อนก็ไม่จำเป็นต้องวัดค่า pH แต่ถ้าใช้น้ำประปา ควรวัดค่า pH เพราะมีค่าความเป็นกรด-ด่างมากกว่าน้ำบาดาล** **การวัดค่า pH ในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เชิงการค้า**
ควรวัดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น เช้า-กลางวัน-เย็น หรือวันละหลายๆ รอบ ซึ่ง ค่า pH จะต่างกันตามฤดูกาล
- ฤดูร้อน อยู่ระหว่าง 1.2-1.4
- ฤดูฝน อยู่ระหว่าง 1.8-2.0
- ฤดูหนาว อยู่ระหว่าง 1.8-2.2
การจัดการน้ำในระบบ
- ควบคุมปริมาณน้ำให้คงที่—พืชเจริญเติบโตได้ดีในปริมาณน้ำที่คงที่ ถ้าปริมาณน้ำลดลง ปริมาณธาตุอาหารจะเพิ่มขึ้น
- เปลี่ยนสารละลายธาตุอาหาร—ผักไฮโดรโปนิกส์แต่ละชนิดจะดูดธาตุอาหารแต่ละชนิดไปใช้มากน้อยต่างกัน ทำให้ธาตุอาหารเหลืออยู่ไม่เท่ากัน อาจเกิดการตกตะกอน วิธีเปลี่ยนสารละลาย มีด้วยกัน 3 วิธี คือ
- เป็นระยะๆ ทุก 2-3 สัปดาห์ โดยจะถ่ายน้ำสารละลายธาตุอาหารของเดิมออก 1 ใน 5 ส่วน หรือ 2 ใน 3. ส่วนของความจุถังใส่สารละลายธาตุอาหาร
- ถ่ายน้ำสารละลายธาตุอาหารออกช้าๆ สม่ำเสมอ
- ถ่ายของเก่าออกทั้งหมดหลังการเก็บเกี่ยวทุกครั้ง
การเก็บเกี่ยว
- ก่อนการเก็บเกี่ยวผักไฮโดรโปนิกส์ 10 วัน เป็นอย่างน้อย ให้หยุดใช้ยาฆ่าเชื้อรา ส่วนสารที่มีเคมีอื่นๆ ต้องรอให้หมดฤทธิ์อย่างน้อย 15 วัน
- ก่อนการเก็บเกี่ยว 7 วัน ถ่ายน้ำละลายสารอาหารออกจากท่อให้หมด แล้วสูบเอาน้ำเปล่า หรือน้ำสะอาดไปเลี้ยงหรือแช่ผักไว้
- ควรเก็บผักไฮโดรโปนิกส์ในวันที่มีแดด และควรเป็นช่วงบ่าย เพราะไนเตรทจะต่ำลง หากเก็บผักในช่วงที่มีแดดจัด ผักจะมีการนำไนเตรทมาใช้ประโยชน์มากกว่า
- ดึงผักไฮโดรโปนิกส์ออกจากรางปลูกทั้งถ้วย เอาถ้วยออก ไม่ต้องตัดราก หากเป็นการปลูกบนฟองน้ำ ไม่จำเป็นต้องเอาฟองน้ำออกก็ได้ ซึ่งอาจจะมีลูกค้าบางรายระบุให้ส่งผักไฮโดรโปนิกส์ทั้งฟองน้ำ
- เก็บเศษหิน เศษดิน ทำความสะอาด (อาจล้างด้วยน้ำยาล้างผัก) และตัดแต่งใบที่เสียหรือแก่เกินไปออก เพื่อป้องกันการสะสมความร้อนและเชื้อจุลินทรีย์
- ปล่อยให้ผักไฮโดรโปนิกส์ได้คลายความร้อนก่อนได้รับการบรรจุ เก็บผักไว้ในที่ร่มเย็น
- คัดขนาดผักไฮโดรโปนิกส์ และทำการบรรจุ(ห่อหุ้ม)ด้วยพลาสติกหรือกระดาษ เพื่อลดการคายน้ำ ผักได้น้ำหนักและไม่เสียเร็ว จากนั้น เตรียมผักไฮโดรโปนิกส์ลงภาชนะบรรจุที่ใช้สำหรับการขนส่ง โดยบรรจุผักลงภาชนะแค่เต็มพอดี อย่าอัดจนแน่นหรือหลวมเกินไป และอย่าให้ผักถูกกดทับ หรือกระแทก
- ผักไฮโดรโปนิกส์ที่มีการคายน้ำสูง เช่น มะเขือเทศ พริกหวาน ควรทำการเคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิวก่อนทำการบรรจุหีบห่อเพื่อไม่ให้เหี่ยวย่น น่ารับประทาน และไม่สูญเสียน้ำหนัก
- เก็บผักไฮโดรโปนิกส์ไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ ช่วยลดอัตราการหายใจของผัก ให้ผักมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวขึ้น
- เตรียมยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง ต้องให้ห้องเก็บผักเย็นเสียก่อนจึงนำผักไฮโดรโปนิกส์ขึ้นไปจัดเรียง
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่