การดูแลคะน้าใบหยิกหลังการปลูก
การดูแลคะน้าใบหยิก หลังการปลูก
เป็นขั้นตอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกหรือเกษตรกรมีผลกำไรเพิ่มขึ้น จากผลผลิตที่ดี มีคุณภาพสูงตลาดคะน้าใบหยิก ในปัจจุบันเป็นตลาดเพื่อคนรักสุขภาพ และตลาดส่งออก เพราะฉะนั้น ขั้นตอนการดูแลควรเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี
ขั้นตอน การดูแลคะน้าใบหยิก
การให้น้ำ
ควรติดตั้งระบบให้น้ำแบบสปริงเกลอร์แบบหัวพ่นฝอย ที่สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวก ระยะห่างระหว่างหัวๆ ละ 4 เมตรตลอดระยะแนวปลูก ให้น้ำวันละ 2 รอบ เช้าและเย็น เป็นเวลา 5 ถึง 10 นาที
***ในช่วงที่อากาศร้อน หรือฝนแล้ง ให้สังเกตความชื้นของดิน หากดินแห้ง ความขยายเวลาในการให้น้ำเพิ่มขึ้น แต่อย่าให้น้ำท่วมขัง***
***การให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง คะน้าใบหยิกจะเจริญเติบโตได้ดี มีเส้นใยไม่มากเกินไป รสชาติอร่อย***
การให้ปุ๋ย
คะน้าใบหยิกเป็นผักกินใบ ในระยะแรกจึงต้องการปุ๋ยไนโตรเจน ค่อนข้างสูง
- ครั้งแรก 7 วัน หลังปลูก ใส่ปุ๋ยบริเวณลำต้น ใช้สูตร 46 – 0 – 0 หรือ 21 – 0 – 0 อัตรา 120 กรัม ต่อตารางเมตร
- ครั้งที่ 2 หลังปลูก 14 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46 – 0 – 0 ผสม 15 – 15 – 15 อัตรา 1 ต่อ 2 ส่วน ผสมกัน ใช้อัตรา 120 กรัม ต่อตารางเมตร
- ครั้งที่ 3 หลังย้ายปลูก 21 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 30 – 20 – 10 อัตรา 20 กรัม ต่อ 20 ลิตร
หรือ ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี ก็เลือกใส่ปุ๋ยคอกแทน ในระยะเวลาเดียวกัน
***รดน้ำให้ชุ่มทุกครั้ง หลังการให้ปุ๋ย***
การพรางแสง
หากมีอุณหภูมิสูง หรือแดดจัด ในช่วงที่ทำการเพาะปลูกคะน้าใบหยิก ให้ใช้สแลนช่วยพรางแสงให้กับต้นคะน้าใบหยิก ช่วยให้ได้ผลผลิตที่ได้มาตรฐาน
การกำจัดวัชพืช
- หมั่นกำจัดวัชพืช เมื่อพบเห็น หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้กำจัดได้ยากและอาจจะต้องใช้สารเคมีช่วยกำจัด
- กำจัดวัชพืชขณะวัชพืชยังเล็ก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับพืชหลัก หรือเป็นแหล่งเพาะศัตรูพืช หรือติดไปกับผลผลิต
- ควรเก็บวัชพืช และเศษพืชโดยเฉพาะที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก
วัชพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
วัชพืชฤดูเดียว เป็นวัชพืชที่ครบวงจรชีวิตภายในฤดูเดียว ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด - ประเภทใบแคบ ได้แก่ หญ้าตีนกา หญ้านกสีชมพู หญ้าตีนนก หญ้าตีนติด และหญ้าดอกขาว เป็นต้น
- ประเภทใบกว้าง ได้แก่ ผักเบี้ยหิน ผักเบี้ยใหญ่ สาบแร้งสาบกา และผักโขม
- ประเภทกก เช่น กกทราย และหนวดปลาดุก
วัชพืชข้ามปี เป็นวัชพืชที่ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยต้น ราก เหง้า หัว และไหล ได้ดีกว่าการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด วัชพืชข้ามปีที่พบมาก คือ แห้วหมู
การป้องกันกำจัด
- ไถ 1 ครั้ง ตากดิน 7 วัน แล้วพรวนดิน 1-2 ครั้ง
- คราดเก็บซาก ราก เหง้า หัว และไหลของวัชพืชข้ามปีออกจากแปลง
- คลุมดินด้วยฟางข้าวหลังหว่านเมล็ด
- กำจัดวัชพืชด้วยแรงงานหลังปลูก 20-30 วัน
การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
คะน้าใบหยิกสีเขียว
มีอายุการเก็บเกี่ยว 50 ถึง 60 วัน
คะน้าใบหยิกสีม่วง หรือสีม่วงแดง
มีอายุการเก็บเกี่ยว 70 ถึง 80 วัน
หลังจากหยอดเมล็ด
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวให้ผลผลิตมีรสชาติดี มีคุณภาพ และเก็บไว้ได้นาน ควรปฏิบัติดังนี้
- อย่าปล่อยให้ผักแก่เกินไป
- เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเช้า แดดไม่จัดดีกว่าเวลาบ่าย
- ใช้มีดคมๆ ตัดให้ชิดโคนต้น ***อย่าเก็บหรือเด็ดด้วยมือ***
- ตัดไล่เป็นหน้ากระดานไปตลอดทั้งแปลง
- หลังเก็บเกี่ยวเสร็จควรนำผักเข้าที่ร่ม วางในที่โปร่งและอากาศเย็น
- บรรจุในภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติกเจาะรูระบายอากาศรอบด้าน หรือตามที่ลูกค้าต้องการ
ข้อควรรู้ ในการจำหน่ายคะน้าใบหยิก
ข้อกำหนดเรื่องคุณภาพ
- มีรูปร่างลักษณะและสีตรงตามพันธุ์ ไม่แคระแกรน
- ไม่มีตำหนิใดๆ ไม่แก่เกินไป สีสม่ำเสมอ
- สด ไม่เหี่ยว สะอาด และปลอดภัยจากสารเคมี
การจัดชั้นคุณภาพ
ชั้นหนึ่ง
- ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 1.0 ถึง 1.3 เซนติเมตร
- ความยาวจากโคนต้นถึงปลายใบสุดท้าย 35 เซนติเมตร
- มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ
ชั้นสอง
- ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 0.9 ถึง 1.0 เซนติเมตร
- ความยาวจากโคนต้นถึงปลายใบสุดท้าย 25 เซนติเมตร
- มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ
ชั้น U
- ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 0.5 ถึง 0.9 เซนติเมตร
- ความยาวจากโคนต้นถึงปลายใบสุดท้าย 20 เซนติเมตร
- มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ
ข้อกำหนดในการจัดเรียง คะน้าใบหยิกในภาชนะบรรจุเดียวกันต้องเป็นพันธุ์เดียวกัน มีชั้นคุณภาพเดียวกันและมีคุณภาพสม่ำเสมอ
การเก็บรักษา อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 95 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถเก็บรักษาได้นาน 2 ถึง 3 สัปดาห์
ช่วงเวลาที่มีผลผลิตตามท้องตลาด : เดือนธันวาคม ถึง เดือนมีนาคม
การขนส่ง
- เตรียมการเรื่องตลาดรับซื้อและยานพาหนะในการขนส่งไว้ล่วงหน้า
- ไม่กองผลผลิตบนพื้นรถบรรทุกโดยตรง ควรใส่ภาชนะ
- การขนส่งระยะทางไกลควรส่งให้ถึงเร็วที่สุด
การบันทึกข้อมูล
เกษตรกรควรบันทึกการปฏิบัติงานในขั้นตอนการผลิตต่างๆ ให้มีการตรวจสอบได้ หากเกิดข้อบกพร่องขึ้น สามารถจัดการแก้ไขหรือปรับปรุงได้ทันท่วงที ได้แก่
- บันทึกสภาวะแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณน้ำฝน
- พันธุ์ วันที่ปลูก วันถอนแยก
- วันใส่ปุ๋ย และอัตราการใช้
- วันที่โรคและแมลงศัตรูพืชระบาด รวมทั้งวิธีกำจัด และระยะเวลาในการกำจัด
- ค่าใช้จ่าย ปริมาณผลผลิต และรายได้
- ปัญหา อุปสรรคอื่นๆ ในช่วงฤดูปลูก การเก็บเกี่ยวและการขนส่ง
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่
(แหล่งข้อมูล : http://hkm.hrdi.or.th, www.maamjourney.com, www.women.thaiza.com, www.maceducation.com, www.bighealthyplant.com)